หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สุขบัญญัติ 10 ประการ ประกอบไปด้วย

1.ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด ทำได้โดย
          - อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และสระผมอย่างน้อย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
          - ตัดเล็บมือ เล็บเท้า ให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรค
          - ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน
          - ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นอย่างเพียงพอ
          - จัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย


2.รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี โดยการ
          - แปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เวลาเช้า และก่อนนอน
          - ถูหรือบ้วนปาก หลังทานอาหาร
          - เลือกใช้ยาสีฟันและฟลูออไรด์
          - หลีกเลี่ยงการทานลูกอม ลูกกวาด ท็อฟฟี่ ขนมหวานเหนียวต่าง ๆ เพื่อป้องกันฟันผุ
          - ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
          - ไม่ควรใช้ฟันกัดขบของแข็ง
3.ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังการขับถ่าย
          คือ ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้ง ก่อนและหลังการเตรียม ปรุง และรับประทานอาหาร รวมทั้งหลังการขับถ่าย
4.กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด โดยการ
          - เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงหลัก 3 ป คือ ประโยชน์ ปลอดภัย และประหยัด
          - ปรุงอาหารให้ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงหลัก 3 ส คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ และสะอาดปลอดภัย
          - ทานอาหารที่มีการจัดเตรียม การประกอบอาหาร และใส่ในภาชนะที่สะอาด
          - รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
          - รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการทุกวัน
          - ทานอาหารปรุงสุกใหม่ รวมทั้งใช้ช้อนกลางในการทานอาหารร่วมกัน
          - หลีกเลี่ยงทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารรสจัด ของหมักดอง รวมทั้งอาหารใส่สีฉูดฉาด
          - ดื่มน้ำสะอาดทุกวัน อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
          - ทานอาหารให้เป็นเวลา
5.งดสูบบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ 
          ผู้ที่จะมีสุขภาพดีตาม สุขบัญญัติ 10 ประการ ต้องงดสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดใช้สารเสพติด งดเล่นการพนัน นอกจากนี้ต้องส่งเสริมค่านิยม รักนวลสงวนตัว และมีคู่ครองเมื่อถึงวัยอันควร
6.สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น ทำได้โดย

          - ให้ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำงานบ้าน
          - สมาชิกทุกคนในครอบครัวควรปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน
          - เผื่อแผ่น้ำใจให้กันและกัน
          - จัดกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน
          - ชวนกันไปทำบุญ
7.ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท ทำได้โดย

          - ระมัดระวังป้องกันอุบัติภัยที่อาจเกิดภายในบ้าน เช่น เตาแก๊ส ไฟฟ้า ของมีคม ธูปเทียนที่จุดบูชาพระ ฯลฯ
          - ระมัดระวังในการป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น ปฏิบัติตามกฏของการจราจรทางบก ทางน้ำ ป้องกันอันตรายจากโรงฝึกงาน ห้องปฏิบัติการ เขตก่อสร้าง หลีกเลี่ยงการชุมนุมห้อมล้อม ในขณะเกิดอุบัติภัย
8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี โดยการ

          - ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
          - ออกกำลังกายและเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและวัย
          - ตรวจสุขภาพประจำปีกับแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
9.ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ โดยการ

          - พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่างต่ำ 8 ชั่วโมง
          - จัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน และที่ทำงานให้น่าอยู่
          - หาทางผ่อนคลายความเครียด เมื่อมีปัญหา หรือเรื่องไม่สบายใจรบกวน อาจหางานอดิเรกทำ ใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูภาพยนตร์
          - ช่วยเหลือผู้อื่นที่มีปัญหา
10.มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม เช่น

          - กำจัดขยะภายในบ้าน และทิ้งขยะในที่รองรับ
          - หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โฟม พลาสติก สเปรย์ เป็นต้น
          - มีและใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
          - กำจัดน้ำทิ้งในครัวเรือนและโรงเรียนด้วยวิธีที่ถูกต้อง
          - ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
          - อนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม เช่น ชุมชน ป่า น้ำ และสัตว์ป่า เป็นต้น

          ถ้าหากใครปฏิบัติได้ตาม สุขบัญญัติ 10 ประการ นี้ รับรองว่า จะมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนแน่นอนค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของงาดำ

           
        
          งานับเป็นของมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา และไม่เฉพาะแต่งาดำเท่านั้น งาขาวก็มีประโยชน์ งาเป็นพืชที่ให้ประโยชน์ทางโภชนาการมาก จุดเด่นคือมีน้ำมันมาก ร่างกายจึงได้น้ำมันแน่นอนเป็นผลดีในแง่ของการได้รับพลังงาน น้ำมันที่ได้จากงาเป็นน้ำมันชนิดที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีประโยชน์ในการลดไขมันและโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและโรคทั้งหลายในตระกูลนี้
งายังมีโปรตีนสูง ช่วยเรื่องการขาดโปรตีนได้ มีแคลเซียมและเหล็ก ก็ช่วยเสริมสิ่งสำคัญเหล่านี้ให้กับร่างกายมนุษย์ นอกจากนั้นงายังมีใยอาหารสูง ช่วยหลายเรื่องรวมทั้งอาการท้องผูก

สรุปแล้ว สมควรจัดให้คุณยายรับประทานเป็นอย่างยิ่งค่ะ

อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ

อาหารเช้าเพื่อสุขภาพสำหรับคุณๆ

 การได้ทราบว่า หลักการทานอาหารเช้าอย่างถูกวิธีนั้น เป็นสิ่งที่ดีและเป็นกำไรชีวิตอย่างดียิ่ง เนื่องจากหากเรารู้เคล็ดลับแล้ว การทำตามเคล็ดลับ เพื่อนำไปสู่ความสาว สุขภาพดีก่อนใคร ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วเพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าแล้วเราจะต้องทานอะไรล่ะ ถึงจะเรียกว่า รู้เคล็ดลับการทานอาหาร ที่เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่า หรือ ได้สมดุลตามที่ร่างกายต้องการ วันนี้มีรายการอาหารเช้าเพื่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ 5 อย่างต่อไปนี้คือทางเลือกใหม่สำหรับสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ไม่มีเวลาทำอาหารเช้า แต่อยากรักษาสุขภาพให้สมดุล


ขนมปังปิ้ง
อาหารเช้ายอดฮิตที่ใช้เวลา ปรุงเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น แถมยังมีเมนูหลากหลายให้เลือกไม่สิ้นสุด ขนมปังปิ้งกับแยมรสโปรดก็ใช่ ขนมปังปิ้งทาเนยก็ชอบ หรือจะเป็นขนมปังปิ้งจิ้มน้ำผึ้งก็ไม่เลว แต่เพื่อสุขภาพที่ดีมากขึ้นควรเลือกขนมปังโฮลวีทหรือ ขนมปังธัญพืชเป็นส่วน ประกอบหลัก The American Dietetic Association ให้คำแนะนำว่าใน 1 วัน ควรรับประทานขนมปัง เพื่อสุขภาพอย่างน้อย 3 แผ่น และการรับประทานขนมปังโฮลวีทกับเนยถั่วยังทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มี ประโยชน์มากขึ้นด้วย

ผลไม้สด
ผลิตผล จากธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินอันทรงคุณค่า เหมาะกับชั่วโมงเร่งด่วนยามเช้าเป็นอย่างยิ่ง ส้ม 1 ผลให้สารไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย 3 กรัม โปรตีน 1 กรัม และพลังงานจำนวน 60 แคลอรี กล้วย 1 ลูกนอกจากจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์แล้ว ยังมีธาตุโพแทสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของแรงดันโ ลหิตอีก 400 มก. คราวหน้าถ้าคุณสาวๆ บอกกับตัวเองว่า ‘ไม่มีเวลากินอาหารเช้า' อีกละก็แค่เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบแอปเปิลมากัดสักสองสามคำ ร่างกายก็จะได้รับสารไฟเบอร์ไป 4 กรัม และพลังงานอีก 60 แคลอรีเพียวๆ โดยไม่เสียเวลาแต่อย่างใด

ซีเรียล
แม้จะเป็นอาหารที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ซีเรียลก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่สะดวกและเปี่ยม ไปด้วยคุณค่าทาง โภชนาการที่เหมาะกับยามเช้าอันแสนเร่งรีบ แค่รับประทานซีเรียลผสมนมพร่องมันเนยถ้วยเดียวคุณก็ไ ด้รับธาตุไฟเบอร์แบบเต็มๆ ไปแล้วอย่างน้อย 4 กรัม น้ำตาลอีก 10 กรัม แถมไขมัน 0% อีกต่างหาก

เครื่องดื่มจำพวกสมู้ทตี้
อาหารเช้าอันแสนเพอร์เฟคสำหรับสาวที่ไม่ชอบ เคี้ยว ถ้าคุณมีเวลาชงกาแฟแล้วละก็ขอแนะนำให้คุณหันมาดื่มเค รื่องดื่มจำพวกนี้แทนดี กว่า แค่เอาผลไม้ที่เหลือในตู้เย็นเติมนมไปนิด น้ำแข็งสักก้อนสองก้อนมาปั่นรวมกัน ก็ได้อาหารเพื่อสุขภาพแล้ว แถมยังได้ความสดชื่นเป็นโบนัสยามเช้าอีกด้วย

ข้าวโอ๊ต
สุดยอดอาหารมหัศจรรย์ที่ใช้เวลาปรุงเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น เพียงเติมน้ำร้อนก็พร้อมรับประทาน ข้าวโอ๊ต 1 ซองอุดมไปด้วยธาตุไฟเบอร์ 3 กรัม และให้พลังงาน 150 แคลอรี แถมยังช่วยลดคอเลสเทอรอล และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ 9 ประการ ในการอบรมเลี้ยงดูลูก

  คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่มีลูกที่เก่งและน่ารัก ประพฤติตนดี มักจะได้รับความชื่นชมจากเพื่อนๆ และบรรดาญาติสนิทว่า เป็นผู้ที่ให้การอบรมเลี้ยงดูลูกดี และมักจะได้รับคำถามเสมอๆว่าทำอย่างไรลูกจึงขยัน ทำอย่างไรลูกจึงเป็นเด็กเก่ง เด็กเรียบร้อย
    ซึ่งทุกคนก็คงทราบดีว่า ในความเป็นจริงนั้น จะไม่มีสูตรสำเร็จอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว ที่จะนำมาใช้เพื่ออบรมเลี้ยงดูเด็ก ให้เป็นเด็กที่เก่ง และน่ารักได้โดยง่าย และเด็กแต่ละคน ก็มีลักษณะเป็นตัวของตัวเอง เช่นเดียวกับลักษณะโครงสร้างทางครอบครัว ของแต่ละครอบครัว ก็มีความแตกต่างกันไป
     ดังนั้นสูตรสำเร็จในการอบรมเลี้ยงดูลูกของครอบครัวหนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ผล กับคนอื่นๆก็เป็นได้
     แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีแนวทางในการอบรมเลี้ยงดูลูก ที่คุณพ่อคุณแม่จะสามารถนำมาปรับปรุง ใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะของครอบครัวของตนเอง ได้ดังนี้คือ
1. พยายามใช้การสอน (teach) มากกว่าการลงโทษ (punish) ใน กรณีต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเป้าหมายของการอบรมเลี้ยงดูลูก คือการสอนให้ลูกรู้จักการปฏิบัติตน และมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การลงโทษเด็ก ด้วยการตี หรือทำให้เด็กเจ็บตัว หรือเจ็บใจ (เช่น การหยิก หรือการดุด่า) ไม่ได้ช่วยทำให้เด็กได้เรียนรู้การปฏิบัติตนที่ถูกต้อง แต่กลับเป็นการแสดงให้เด็กเห็นว่า การใช้กำลัง หรือการใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และยิ่งถ้าต้องการเอาชนะใคร หรือต้องการมีอำนาจเหนือใคร ก็ยิ่งต้องใช้กำลัง (เช่นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการกำหราบเขา ก็ยังใช้วิธีตีเขาเลย) ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น เด็กก็จะใช้กำลังเข้าแก้ปัญหาดัง นั้นสุภาษิตเดิมๆที่กล่าวว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีหรือ “ Spare the rod, spoil the child” นั้นอาจจะไม่เหมาะสม กับการอบรมเลี้ยงดูลูกในยุคไฮเทคนี้
2. พยายามมองปัญหาทางพฤติกรรมที่เด็กทำขึ้นว่าอาจจะไม่ใช่เป็นเพราะ เด็ก ไม่ดีหรือ เลวจงใจทำผิด เพื่อท้าทายคุณแต่ ควรมองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นจากการที่เด็กมีความคิด หรือความเข้าใจที่ยังไม่ถูกต้องทำให้มีการตัดสินใจในการกระทำพฤติกรรมอย่าง ที่ได้ทำไปแล้ว และดูไม่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น หรือตามที่คุณคาดหวังไว้ เพื่อทำให้คุณได้พยายาม มองหาช่องว่างทางความคิด หรือการตัดสินใจที่เกิดขึ้น และหาทางทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับลูกได้
3. เมื่อมีโอกาส ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้รับรู้ ถึงผลที่จะเกิดขึ้น (consequences) เมื่อมีการทำพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องโดยตัวของเขาเอง  เช่น เมื่อลูกทำของหกเลอะเทอะ เขาก็จะต้องเป็นผู้ที่จะเก็บ ทำความสะอาดสิ่งที่เขาทำให้เรียบร้อย ถ้าไม่ทำ เขาเองหรือคนอื่นที่เดินมา ก็อาจจะลื่นหกล้มได้ ถ้าเขาไม่รับผิดชอบในการทำการบ้านส่งคุณครู แม้ว่าคุณได้ช่วยเตือนเขาแล้ว เขาก็ควรจะถูกคุณครูทำโทษ ในเรื่องที่ไม่ทำการบ้านได้ ไม่ใช่ว่าคุณพ่อคุณแม่ทำการบ้านให้เขาแทน ทำให้เด็กรู้สึกว่า ตนเองไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไร ในสิ่งที่ได้รับมอบหมายงานมาทำ หรือคุณพ่อคุณแม่ไปเอาเรื่องคุณครู ที่ทำโทษลูกเรื่องไม่ทำการบ้าน จนกลายเป็นว่าคุณครูเป็นผู้ผิด ที่ให้การบ้านเยอะ
4. พยายามกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ในครอบครัว ให้มีความชัดเจน, สามารถให้เด็กเข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่าย และเป็นธรรมกับทุกคน โดยมีความเหมาะสมกับอายุของเด็กในแต่ละวัยด้วย และทำให้เด็กเข้าใจ ถึงผลที่จะตามมา เมื่อไม่ปฏิบัติตาม ว่าจะมีผลเสียอย่างไร (แต่ไม่ใช่เป็นการขู่ โดยไม่มีผลในทางปฏิบัติ) และควรจะมีความสม่ำเสมอ ในการบังคับใช้กฎเกณฑ์นั้นๆ กับทุกคนในบ้าน
5. อย่าใช้การบ่น หรือติเตียนตลอดเวลา เมื่อเด็กทำอะไรผิด ไปจากกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ควร บอกเขาให้ทราบ ถึงสิ่งที่เขาทำ ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และให้เขารับรู้ในผลที่จะตามมา จากการกระทำผิดของเขา ในขณะที่พูดเรื่องนี้กับเขา ไม่ควรใช้อารมณ์โกรธ ควรพูดด้วยน้ำเสียง และท่าทีที่เรียบๆ แต่หนักแน่น เพื่อให้เด็กรับรู้ว่า การอบรมเขาที่คุณพ่อคุณแม่กำลังทำอยู่นั้น คุณได้ทำไป เพราะต้องการให้เขาเป็นคนดี ไม่อยากให้เขาทำผิด หรือทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้นๆ อีก ไม่ใช่เป็นเพราะคุณโกรธ หรือไม่ชอบในตัวเขา แต่เป็นเพราะ สิ่งที่เขาทำต่างหาก ที่คุณไม่ชอบ และเห็นว่าควรแก้ไข
6. ถ้าเด็กมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ไม่ถูกต้อง ที่คุณต้องการแก้ไข ขออย่าได้พยายามแก้หลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ควรเลือกพฤติกรรมที่มีปัญหามาก ที่คุณคิดว่าควรได้รับการแก้ไขก่อน โดยนำมาพูดคุยกับลูก สอนให้เขาทราบว่า ทำไมถึงไม่ควรทำ และถ้าทำแล้วจะเกิดผลตามมาอย่างไร ในขณะเดียวกัน ก็พยายามมองหาพฤติกรรม หรือสิ่งที่ดีๆที่เด็กได้ทำ โดยเฉพาะในเรื่องทำนองเดียวกันนั้น มาพูดชมให้เขาเห็นว่า เขาก็ทำได้ และคอยให้กำลังใจเขา เมื่อเขาทำสิ่งที่ดีๆ นั้นอีก เพื่อให้เขาได้รับรู้ว่า คุณก็ได้เห็นว่าเขาเป็น เด็กที่ดีได้เช่นกัน คุณอาจจะเล่าให้เขาฟัง ถึงเด็กคนอื่นที่ทำพฤติกรรมในทำนองนี้ได้ แต่ไม่ควรเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่นๆ มากนัก เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่า คุณเห็นแต่คนอื่นๆ ดีหมด ยกเว้นลูกของคุณเอง
7. สำหรับเด็กเล็กวัยทารก และวัยเตาะแตะ ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า สิ่งที่เขาทำอยู่นั้น จะ ถูกหรือผิดอะไรดัง นั้นในกรณีที่เด็กทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง คุณควรจะหาทางเบี่ยงเบนความสนใจ หรือพาเขาออกจากเหตุการณ์นั้นๆ ไป ก่อนที่จะเกิดผลเสีย ที่อาจเป็นอันตรายขึ้น ไม่ควรพยายามลงโทษเด็ก หรือเขย่าตัวเด็กแรงๆ โดยหวังจะให้เด็กจำไว้ จะได้ไม่ทำอีก เพราะส่วนใหญ่แล้ว เด็กจะทำไปตามสัญชาติญาณ ความอยากรู้อยากเห็นของเขา อยากลองดูว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ โดยไม่ได้มีเจตนาทำผิด หรือดื้อมากๆแต่อย่างใด
8. คุณควรทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เด็กได้เห็นเสมอๆ เวลา ที่คุณพูดกับผู้อื่น คุณควรใช้คำพูด และกริยาท่าทาง ที่สุขุมเยือกเย็น ไม่แสดงอารมณ์โกรธ หรือก้าวร้าวกับผู้อื่นต่อหน้าเด็กๆ ควรมีคำพูดที่แสดงมารยาทที่ดี เช่น ขอโทษค่ะ(ครับ)”, “ขอบคุณครับ (ค่ะ)”, และ การแสดงน้ำใจกับคนอื่นๆให้เขาได้เห็นอยู่เสมอๆ เพราะเด็กมักจะเก่งในการสังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้าง และจะเรียนรู้ได้เร็ว เด็กมักจะทำตามแบบอย่างที่เห็นจากคุณ มากกว่าที่จะทำตามคำสั่งที่คุณบอกให้เขาทำ ทั้งนี้คุณควรจะให้ความเอาใจใส่กับเรื่องต่างๆในทีวี หรือเกมคอมพิวเตอร์ที่เด็กเล่นด้วย เพราะสื่อเหล่านี้ก็สามารถเป็นตัวอย่างในการสอนพฤติกรรมที่ไม่ดีแก่เด็กๆได้ และอยากให้คุณพ่อคุณแม่ที่พบว่า มีรายการหรือสื่ออะไรที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก ช่วยกันร้องเรียนผ่านทางเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบ หรือทางสื่ออื่นๆ เพื่อช่วยกันทำให้สภาพสังคมไทยของเรา ได้มี มลพิษทางปัญญาเหล่านี้ลดน้อยลงด้วย
9. อย่าลืมให้กำลังใจเด็ก เมื่อเห็นเขาทำสิ่งที่ดีๆ แม้เพียงคำชมเล็กๆน้อยๆ หรือการโอบกอดเด็ก เพื่อให้เขารับรู้ว่า คุณรักเขาเสมอ หรือ แม้แต่การสบตากันอย่างคนรู้ใจ จะเป็นพลังที่จะช่วยให้ลูกของคุณ มีกำลังใจที่จะทำดีต่อไปเรื่อยๆ ขอให้คุณพ่อคุณแม่พยายามปรึกษากันอยู่เสมอๆ ในเรื่องการอบรมเลี้ยงดูลูกที่รักของเรา ในความเป็นพ่อแม่นั้น เรามีความรับผิดชอบร่วมกัน ที่จะทำให้ครอบครัวของเรา มีความสุข และมีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
     เด็กไม่ได้ต้องการแต่สิ่งของ เงินทอง ที่คุณหามาให้ เด็กยังต้องการความรัก และเวลาจากคุณด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ การอบรมเลี้ยงดูจากคุณ เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ ที่จะเป็นคนดี มีกริยามารยาทที่ดี และเข้าสู่สังคมได้อย่างดี ประสบความสำเร็จสมดังที่คุณได้ตั้งใจไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่จะทำได้สำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนกับ “ผลบุญ” ในกุศลที่คุณได้ทำสั่งสมมานาน ในที่สุด ก็จะกลับมาให้คุณได้ชื่นชม ในความสุข ความสำเร็จ ที่ลูกได้รับ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ความเป็นพ่อแม่ของคุณ ก็ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่คุณทั้งสอง ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนที่คุณได้ตกลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ขอให้ประสบความสำเร็จค่ะ

พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
คลินิคเด็ก

อาหาร 5 หมู่ ..... น่ารู้


        มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอพูดถึงอาหารหลัก 5 หมู่ มักจะบอกเป็นสารอาหาร 5 ชนิด แทนการบอกชนิดของอาหาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากนัก แต่อยากจะให้คนไทยได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
        ส่วนความสับสนระหว่างการเรียกชื่ออาหารให้ครบ 5 หมู่ กับเรียกสารอาหาร 5 ชนิด แทนนั้นจะขอทบทวนให้เข้าใจตรงกันดังนี้

          หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
          หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย 
          หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ        
          หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3 
          หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย

          ต่อไปนี้เราไม่ควรเรียก อาหารหมู่ 1 โปรตีน หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต หมู่ 3 วิตามิน หมู่ 4 แร่ธาตุ หมู่ 5 ไขมัน อีกต่อไปแล้ว ควรเรียกชื่ออาหารแทน

          เหตุผลที่กำหนดอาหารหลัก 5 หมู่ขึ้นก็เพื่อที่จะให้คนไทยกินอาหารให้ได้สารอาหาร ครบ 5 ชนิด โดยนำเอาอาหารที่มีสารอาหารเหมือนกันมาไว้ในหมู่เดียวกัน แต่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 ชนิดในแต่ละวัน ดังนั้น เราจึงต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่จะให้สารอาหารครบทั้ง 5 ชนิด 

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แต่งบ้านให้มีชีวิตชีวา...ด้วยไม้ประดับ

สวยงามร่มรื่น ดูมีชีวิตชีวาได้ด้วยสิ่งที่ประกอบหลายอย่างนอกเหนือไปจากเครื่องเรือน ส่วนจะเลือกไม้ประดับไปวางไว้ในมุมหนึ่งมุมใดในบ้าน ก็ดูเก๋ และทำให้รู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาได้เหมือนกัน


หน้าต่าง

ถ้าบ้านคุณมีขอบหน้าต่างพอวางกระถางต้นไม้นับแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ได้ ก็สบายมาก เพราะตรงหน้าต่างเป็นที่แสงแดดส่องถึงมีแสงสว่างและความชื้นอย่างพอเหมาะ เท่านี้ต้นไม้ก็จะเจริญเติบโตอยู่ได้นานแสนนาน อยากแนะนำ ว่านหางจระเข้ และสาวน้อยประแป้ง

กั้นระหว่างห้อง

การนำเอาไม้ประดับมาวางเป็นที่กั้นห้องไปเลย คือสามารถช่วยแบ่งห้องเป็นสัดส่วนขึ้น เช่น ระหว่างห้องรับแขกกับห้องกินข้าว ซึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน คุณสามารถหาไม้ประดับบางประเภทมาวาง เช่น ไม้ประดับชนิดไม้เลื้อยประเภทฟิโลเดน ดรอน ซึ่งบ้านเราเรียกต้นเงินไหล หรืออาจจะเอาพลูด่างมาพันเลื้อยกาบมะพร้าว แล้วแซมด้วยเฟิร์นใบมะขามพอสวยก็ใช้ได้ค่ะ ข้อสำคัญคืออย่ารดน้ำมากเกินไป หรือปล่อยให้แห้งแล้งเกินไป

บนโต๊ะรับแขก

มุมงามๆ ที่คุณสามารถโชว์ความเด่นของต้นไม้ได้ เช่น นำไม้กระถางเล็กๆ วางบนโต๊ะรับแขกแทน แจกันดอกไม้สดก็เก๋ดีค่ะ บนตู้โชว์ โต๊ะหนังสือ หรือหากระถางโตหน่อยวางตรงมุมห้องแต่ละจุดที่ไม่เกะกะและสามารถยกออกได้ง่าย ในกรณีที่ต้องยกไปรับแสงแดดบ้าง

วางข้างบันได

จัดวางตรงข้างบันไดทางขึ้นชั้นบนก็ดูสดชื่น แต่ถ้าจะให้เด่นจริงๆ เห็นจะต้องใช้แขวนไม้ประดับ เลือกซื้อชนิดที่ไม่ดูรุงรัง และเลือกที่จะไม่แขวนในจุดที่เกะกะ ให้ใครต่อใครเดินชน 

ฮวงจุ้ยกับการตกแต่งบ้าน

ฮวงจุ้ยกับการตกแต่งบ้าน
แสง
ภายในบ้านควรมีแสงสว่างอย่างพอเพียง บริเวณพื้นที่นอกตัวบ้านหรือภายในสวนก็ควรมีแสงสว่างมากๆ ในยามค่ำคืน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้ไฟในบริเวณนอกบ้านน้อยมากหรือไม่ใช้เลย ทำให้บริเวณรอบบ้านดูมืดอึมครึม แต่ถ้าเปิดไฟไว้บริเวณนอกตัวบ้านหรือภายในสวน ก็จะกระตุ้นความเจิดจ้าและความมีชีวิตชีวาให้แก่ผู้คนในบ้านนั้น แต่ในตัวบ้านไม่ต้องใช้ไฟปริมาณมากเกินไปจนสว่างจ้า เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาต้องทำงานหนักเกินไป แสงไฟควรนุ่มนวลพอดี และไม่มืดหม่นสลัวลางเกินไป ไฟที่มีแสงออกแกมสีเขียวด้วยนั้น ไม่ควรนำมาติดไว้ในบ้านเด็ดขาด ! เพราะเวลาแสงไฟส่องต้องใบหน้าคนในบ้านแล้วจะดูเหมือนใบหน้าคนตายไร้สีเลือด ไฟที่มีรูปทรงเป็นโคมระย้า ก็ถือว่าเป็นรูปทรงที่ดี เพราะทำให้ชี่ที่รุนแรงกระจายตัวออกไปอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรแขวนไว้ในตำแหน่งที่ต่ำจนเกินไป

กระจกเงา
กระจกเงาช่วยแก้ไขฮวงจุ้ยให้ดีขึ้นได้ แต่ก็ต้องติดไว้อย่างถูกที่ถูกทางด้วย จึงจะส่งผลดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย หากนอกบ้านมีสระน้ำหรือแม่น้ำ เราควรติดกระจกเงาที่ผนังในตำแหน่งซึ่งกระจกเงาสามารถสะท้อนภาพของแม่น้ำได้ คือ ดึงเอาภาพของน้ำมาไว้ในห้องนั่นเอง การแขวนกระจกเงาไว้บนผนัง ไม่ว่าเพื่อแก้ไข หรือเสริมกรณีใดก็ตาม ที่ถูกต้องก็คือ จะต้องแขวนไว้ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไป หรือต่ำกว่าระดับศีรษะของคนในครอบครัว กระจกเงาช่วยให้ห้องเล็กๆ ดูกว้างขึ้นและสว่างขึ้น อีกทั้งยังสะท้อนพลังงานของชี่ให้กระจายออกมา แต่ว่าตำแหน่งของกระจกเงาที่จะส่งผลร้ายให้มี ก็เช่นกัน เป็นต้นว่า เมื่อคุณกลับเข้าบ้าน ทันทีที่ก้าวเาเข้าประตูหน้าบ้าน แล้วเห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกบานใหญ่ ซึ่งติดไว้ที่ผนัง เช่นนี้ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะกระจกเงาตรงนั้นจะสะท้อนเอาพลังที่ดี โชคลาภที่ดีกลับออกไปหมด และการติดกระจกเงาหลายๆ บานในห้องเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะภาพที่สะท้อนจะทำให้ดูเหมือนว่ามีเงาผู้คนเต็มไปหมดในห้องนั้น ส่งผลร้ายต่อระบบประสาทและสุขภาพจิต ทำให้ป่วยไข้ไม่สบายได้ง่ายๆอีกด้วย

สี
ตามหลักจิตวิทยาและทฤษฎีสีนั้นก็บ่องบอกอยู่แล้วว่า “สี” มีอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกของคนเราอย่างมาก สีมีผลทำให้ผนังของห้องเย็นลงหรืออบอุ่นขึ้น หากจะใช้สีให้ถูกต้องจริงๆ ก็ต้องพิจารณาดู “ธาติ” ของเจ้าขอห้องกับห้องด้วยอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนธาตุน้ำ และคุณใช้สีอ่อนกับห้องของคุณ ก็จะนับว่าสมดุลกันยิ่ง หรืออีกนัยหนึ่งอาจอิงที่ฤดูกาลก็ได้ ผู้ที่เกิดในฤดูหนาว อาจใช้สีสว่างๆ อย่างสีชมพู สีเขียวจัด กับห้องนอนของตน ผู้ที่เกิดในฤดูหนาว อาจใช้สีสว่างๆ อย่างสีชมพู สีเขียวจัด กับห้องนอนของตน ผู้ที่เกิดในฤดูร้อน อาจใช้สีฟ้าอ่อนหรือสีตองอ่อนก็เหมาะสม แต่การใช้สีเดียวกันหมดทั้งบ้าน รวมทั้งเครื่องเรือนต่างๆ เป็นต้นว่า ม่านก็สีเขียวทั้งบ้าน พรมก็สีเขียว โซฟาก็เขียว ผ้าปูที่นอนก็เขียว ผนังห้องก็เขียว อย่างนี้เป็นเรื่องของความชอบความพอใจแต่ไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะภายหลังคุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลียและหมดความกระชุ่มกระชวยลงโดยไม่ รู้สาเหตุ ดังนั้นการพิจารณาอิทธิพลของสีกับธาตุหรือวันเกิดของเจ้าของห้องก่อนก็จะ เป็นการดี

สีแดง คือสีอันเป็นมงคลในหมู่ชาวจีน และหมายถึงความร่าเริงในทางสากล

สีม่วง คือสีที่แสดงความรู้สึกเคารพนอบน้อม

สีเหลือง คือสีของดวงตะวัน หมายถึงความรุ่งเรืองและอายุยืน

สีเขียว คือสีของอารมณ์ริษยา สีแห่งความสงบ-สดชื่น

สีขาว คือสีแห่งความหดหู่ในหมู่ชาวจีน แต่หมายถึงความบริสุทธิ์ ในทางสากล

แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่ชอบสีขาวมากจนทาผนังห้องทุกห้องเป็นสีขาวและเครื่องใช้ เครื่องเรือนทั้งหมดเป็นสีขาวก็ตาม ควรจะเพิ่มสีสันอื่นบ้าง เพื่อสร้างความสดใจและส่งผลดีต่อจิตใจซึ่งแตกต่างกับสีขาวล้วนๆ เพียงสีเดียว

ภาพเขียน

การประดับฝาผนังบ้านด้วยภาพเขียน นอกจากจะให้ความงดงามต่อสายตาแล้ว ยังส่งอิทธิพลอันดีถึงภายในบ้านอีกด้วยภาพวิวทิวทัศน์อันร่มรื่นก็จะช่วยให้ บรรยากาศในบ้านอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ภาพแห่งธรรมชาติที่มีสายน้ำ โขดหิน และก้อนเมฆ ภาพทิวไม้และท้องฟ้าก็ถือว่าเป็นภาพที่ดีเช่นเดียวกับภาพวาดดอกไม้และไม้ยืน ต้น ถือว่าแทนความมีโชคและความคงทนยั่งยืน
ภาพของเทพ ควรเป็นเทพที่คุ้มครองผู้คนจากปีศาจด้วย

ลวดลาย
ลวดลายต่างๆ นั้นเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายในตัวเอง ลวดลายบนกระเบื้องปูพื้น หรือลวดลายบนวอลเปเปอร์ หรือลวดลายบนริมผ้าม่านหรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ หากเลือกให้ดีจะส่งผลดีตามความหมายของตัวมันเอง

กวาง สัญลักษณ์ของความมั่งมี ร่ำรวย
กระดองเต่า สัญลักษณ์ของความมีอายุยืนนาน
ช้าง สัญลักษณ์ของสติปัญญาและความแข็งแรง
แจกัน สัญลักษณ์ของความสงบสุข
ดอกเบญจมาศ สัญลักษณ์ของความยั่งยืนคงทน
ดอกไม้ สัญลักษณ์ของความสดชื่น มั่งมีศรีสุข
เมฆ สัญลักษณ์ของสติปัญญาและพรสวรรค์
มังกร สัญลักษณ์ของอำนาจ
เหรียญ สัญลักษณ์ของความมั่งมีศรีสุข
บัว สัญลักษณ์ของความซื่อตรงและคงทน
ปลา สัญลักษณ์ของความเยือกเย็นและความสำเร็จ

เสียง
ภายในบ้านหรือบริเวณบ้านควรมีเสียงที่ไพเราะ และดังพอประมาณ ไม่ดังเกินไปจนกลายเป็นเสียงที่รบกวนการประดับระฆังเล็กๆ หรือกระดิ่งนั่นเป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ดีประการหนึ่ง เนื่องเพราะพลังงานชี่ที่เฉื่อยจะสลายไปโดยการกระทำของเสียงดนตรีที่ล่องลอย มาในสายลม เป็นการกระตุ้นสภาพอากาศที่หยุดนิ่งให้มีการเคลื่อนไหว ส่งผลให้มีความรื่นรมย์และเกิดความสุขสงบในครอบครัว

สิ่งประดับมงคล
การตั้งตุ๊กตา ฮก ลก ซิ่ว 3 เทพที่ให้สิริมงคลก็เป็นที่นิยมดีเช่นกัน แต่ควรตั้งไว้โดยหันหน้าเทพทั้ง 3 เข้าหาเก้าอี้ในห้องรับแขกหรือตะอาหาร ไม่ควรตั้งประดับไว้โดยหันหน้าเข้าหาประตูบ้านเด็ดขาดและจะต้องคอยปัดฝุ่น เสมอๆ อย่าให้ฝุ่นจับเพราะจะทำให้เสียความเป็นมงคล จากความหมาย 3 เทพ คือ “ฮก” หมายถึงทรัพย์สิน โชคลาภ “ลก” คือยศศักดิ์ “ซิ่ว” คืออายุ ม้า นกยูง ก็ถือเป็นสัตว์มงคลที่ให้ความสง่างามน่าเกรางขามแก่ห้องนั้นๆ ได้ สิงโต ช้าง ก็เป็นสัตว์มงคลที่ให้พลังอำนาจและความแข็งแกร่ง เขาวัว เขาควาย ก็เป็นสิ่งประดับที่แสดงถึงความแข็งแรง แต่ไม่เหมาะจะประดับในบ้านที่มีเด็กๆ เพราะเป็นสัตว์แห่งความดุร้ายอาจส่งผลในทางลบ เช่น เกิดความรุนแรงในครอบครัว แต่อาจใช้ประดับในร้านค้าที่มีการแข่งขันกันสูง สิ่งประดับประเภทนี้ควรแขวนในตำแหน่งที่ห่างจากห้องน้ำและห้องครัวพอสมควร

ตู้ปลา
การใช้ตู้ปลาหรืออ่างเลี้ยงปลา ก็นับเป็นศิลปะการตกแต่งบ้านที่ถูกกับหลักฮวงจุ้ยมากทีเดียว เพราะเป็นทฤษฎีของ “การสร้างสิ่งมีชีวิตให้เคลื่อนไหวในความสงบนิ่ง” ปลาเงิน ปลาทอง ให้ความหมายที่ดีเพราะเป็นสัญลักษณ์ของทรัพย์ และยังเป็นสัญลักษณ์ของการปัดเป่าพลังชั่วร้ายให้พ้นผ่านไปอีกด้วย อ่างปลาหรือโถแก้วใบใหญ่ที่มีลักษณะเป็นทรงกลม ถือว่าเป็นรูปทรงที่ดีที่สุด ตู้ปลาควรมีปั๊มลมเพื่อให้ภายในตู้มีการเคลื่อนไหวของน้ำ มิใช่อยู่ในลักษณะ “น้ำตาย” การเริ่มเลี้ยงปลาในครั้งแรก มีจำนวนปลาเท่าใดก็ควรรักษาระดับจำนวนนั้นไว้ ไม่ควรให้ลดลง ควรให้เพิ่มขึ้นจึงจะถือว่าดี หากมีปลาตายก็ต้องรีบช้อนออกทันที ถ้าจะถือเล็ดตัวเลข ก็ควรเลี้ยงปลาจำนวน 9 ตัว ก็จะเป็นมงคล แต่คนธาตุไฟ ไม่ควรตั้งตู้ปลาไว้ในบ้าน และคนธาตุน้ำก็ไม้จำเป็นต้องเลี้ยงปลา เพราะในตู้ปลามีน้ำและตัวเองก็เป็นธาตุน้ำอยู่แล้ว คนธาตุอื่นๆ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงปลาสักตู้หนึ่งเพื่อเสริมโชคและสิริมงคล